Yves Saint Laurent (YSL) ภาค 2




หลังจากที่เค้าได้รับรางวัล ออสการ์ ทางด้านแฟชั่นของนิตยสาร ฮาร์เปอร์ บาซาร์ นิตยสารที่มีชื่อเสียงมาก (และเป็นนิตยสารโปรดของผมด้วยครับ) ทำให้เค้าได้พัฒนาสู่วงการน้ำหอม โดยน้ำหอมสูตรแรกของเค้าออกมาในชื่อ Y ซึ่งมาจากอักษรตัวแรกในชื่อของตัวเอง จนมีน้ำหอมสูตรที่ดังที่สุดที่ชื่อว่า โอเปี่ยม ที่วางจำหน่ายในปี 1977 ที่โด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน ผมเองก็มีน้ำหอมของ YSL เช่นกันครับ แต่เป็นรุ่น Live Jazz ซึ่งผมเองก็ชอบทั้งกลิ่นและขวด ที่เป็นอีฟส์มากๆเช่นกัน


หลังจากน้ำหอมผ่านไป เค้าก็ได้เริ่มนำชุดซาฟารีให้เป็นที่นิยมทั้งหญิงและชาย จนถึงชุด ซีทรู (ชุดโปรงที่มองเห็นด้านในได้) และเค้าก็ได้ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการถ่ายภาพตัวเอง ซึ่งเป็นภาพเปลือยกายเห็นทุกอย่างกับน้ำหอมที่ชื่อว่า Yves Saint Laurent Pour Homme ซึ่งถูกวิจาร์ณเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงเค้าเสียหายเลย กลับกลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ ที่ผมเองดูแล้วก็รู้สึกว่าคืองานศิลปะมากกว่า

ในปี 1993 เค้าเองก็ประสบปัญหาธุรกิจเช่นกันครับ จึงต้องขายหุ้นให้แก่กลุ่มนายทุน Elf Sanofi Group และในปี 1998 เค้าก็ได้ทำผลงานอันยิ่งใหญ่ในการได้รับเชิญเป็นดีไซน์เนอร์กิติมศักดิ์ให้กับการแข่งขัน ฟุตบอลโลก ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ ชุดที่ออกแบสำหรับพิธีเปิดอย่างอลังการที่ต้องทำให้ผู้แสดงถึง 300 คน และถ่านทอดให้กับผู้คนทั่วโลกได้ชม


ในปี 2000 อีฟส์ก็ได้โอนการดูแลเรื่องการออกแบบของแบรนให้กับ Alber Elbaz (ซึ่งปัจจุบันเค้าทำให้ Lanvin อยู่ครับ เป็นดีไซน์เนอร์อีกคนที่ผมชื่นชอบเช่นกัน) ต่อจากนั้นก็ส่งต่อให้ Tom ford เป็นคนดูแลการออกแบบ ในปี 2002 อีฟส์ก็ได้ประกาศวางมือเนื่องจากปัญหาสุขภาพ

ปัจจุบันนี้แบรน YSL อยู่ภายใต้ชื่อของ YSL ริเวอกอช และ YSL แวริเอชั่น ที่มีทั้งเสื้อผ้าบุรุษ สตรี เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า ยาสูบ เครื่องสำอางค์ และอื่นๆ มีบูติกกว่า 200 แห่ง และดีไซน์เนอร์ที่ดูแลอยู่คนปัจจุบันคือ สเตฟาโน พิลาตา ดีไซน์เนอร์เชื้อสายอิตตาเลี่ยน

ถึงแม้ว่า Yves Saint Laurent จะจากโลกนี้ไปแล้ว ผมเองยังจำภาพงานศพของเค้าได้ดี ที่มีนางแบบอย่างคลอเดีย ชิฟเฟอร์ นางแบบคนสนิทของเค้ามาร่วมงาน..........แต่เรื่องราวและผลงานของเค้า ยังอยู่คู่วงการแฟชั่นตลอดไป