น้ำหอม

เมื่อคืน......เป็นอีกคืนที่สนุกมากเลยครับเพราะว่าเราทวิตเรื่องของน้ำหอม เป็นอะไรที่เบสิกและหลายๆท่านก็จะต้องใช้กัน และบางท่านก็มีน้ำหอมนับ 10 ขวดหรือมากกว่า แน่นอนว่าน้ำหอมย่อมทีจะบ่งบอกถึงความเป็นตัวเรา ที่สำคัญกลิ่นของน้ำหอมก็ช่วยให้เราสดชื่น..... มาลองดูประวัติเกี่ยวกับน้ำหอมกันครับ

ตามตำนานก็มีหลายที่มา น้ำหอม หรือ Perfume มาจากภาษาลาตินที่แปลว่า ผ่านมาตามควัน โดยเกิดมาจากเครื่องหอมที่ใช้โรยบนสัตว์ที่นำมาบูชาเทพเจ้า เพื่อดับกลิ่นคาวนั้นเองครับ หลังจากนั้นก็พัฒนามาเป็นการจุดเครื่องหอมตามความเชื่อของแต่ละชนเผ่า จนกลายมาเป็นน้ำมันที่บางชนเผ่าใช้ในการชโลมตัว ในอียิปต์น้ำหอมก็ถือว่าเป็นของชนชั้นสูงเท่านั้นและสูตรน้ำหอมก็เฉพาะสำหรับราชินี ซึ่งเป็นความลับในการปรุง จนพัฒนามาเรื่อยที่มีการพัฒนาน้ำหอมให้มีกลิ่นที่ติดทนและประเทศที่เป็นเจ้าแห่งน้ำหอมก็คงไม่พ้นฝรั่งเศสนี่เองครับ จนเราเรียกว่า เมืองน้ำหอม
เอาง่ายๆเลยนะครับ น้ำหอมจะแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
โคโลญจน์ (Eau de Cologne ) เป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอม 3 – 5 %
ทอยเล็ตต์ (Eau de Toilette) เป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอม 4 - 8 %
เฟอร์ฟูม (Eau de Parfum) เป็นน้ำหอมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอม 15 – 18 %
ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันไปตามความเข้มข้นของหัวน้ำหอมและความมีชื่อเสียงของแบรน สำหรับท่านที่เคยอบรมเรื่องบุคลิกภาพ จะทราบว่าเค้านิยมให้ผู้ชายใช้น้ำหอมประเภท โคโลญจน์ หรือ ทอยเล็ตต์ เพราะว่ากลิ่นไม่แรงมาก ส่วนผู้หญิงก็ใช้ได้หมดเลยครับ แต่ในปัจจุบัน มีการแบ่งแยกกลิ่นระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย หรือบางรุ่นก็ใช้ได้หมด ซึ่งผมคิดว่าแล้วแต่ความชอบนะครับ บ่อยครั้งที่ผู้หญิงก็ใช้น้ำหอมผู้ชายและผู้ชายก็ใช้น้ำหอมผู้หญิง ผมมองว่าเป็นเรื่องกลิ่นมากกว่าครับ
บางแบรนจะมีไลน์ของน้ำหอมที่แพงขึ้นและเฉพาะเช่น Hermes กับ Chanel ที่จะมีไลน์น้ำหอมพิเศษเพื่อความไม่ซ้ำใคร หรือบางครั้งก็มีรุ่นพิเศษกลิ่นพิเศษที่ใช้แล้วไม่ซ้ำใคร และบางแบรนอย่าง Jo malone ก็พัฒนาให้สามารถฉีดกลิ่นผสมได้เองตามใจชอบ ผมเองก็เคยลองฉีดผสมดูนะครับ ก็จะได้กลิ่นเฉพาะตัว สนุกไปอีกแบบครับ......ยังไงแล้วการเสียเวลาลองเดินเลือกน้ำหอมอย่างใจเย็นและค่อยๆหากลิ่นที่เราชอบ ก็เป็นเรื่องที่คุ้มค่า เพราะว่ากลิ่นนั้นจะอยู่กับเราไปตลอดทุกครั้งที่เราฉีด รวมทั้งบ่งบอกความเป็นเราได้เช่นกันครับ