ประวัติน้ำหอม GENTLEMAN’S WARDROBE ของ VIVE PERFEUME x MARTINPHU

                                             

ภาพนี้ถ่ายในวันที่ ผมได้รับน้ำหอมเป็นคืนแรก ตื่นเต้นมากครับ

น้ำหอมขวดนี้ถือเป็น
Exclusive Collaboration ครั้งแรก สำหรับ MARTINPHU ที่จะใช้ชื่อนี้อยู่บนฉลากของสินค้า เป็นช่วงเวลาที่ผมตื่นเต้นและประทับใจมากครับ ทุกอย่างเริ่มต้นจากการพูดคุยกันใน Clubhouse โดยมีคุณธนกร คุณดา คุณนัท เป็นจุดเชื่อมโยง ทำให้เกิดโปรเจคลับในครั้งนี้กับทาง VIVE PERFUME


ครั้งแรกที่ผมถามคุณแพท แห่ง VIVE PERFUME ว่าทำไมถึงเลือกเป็น MARTINPHU คุณเพทบอกว่ารู้สึกอะไรบางอย่างว่าน่าจะทำงานด้วยง่าย และรู้สึกถึงความปรารถนาดีที่มอบให้ตั้งแต่ตอนคุยใน Clubhouse เลยเริ่มพูดคุยกัน


                                                                                                                                                                                                                                                     

ภาพที่คุณเพท วาดด้วยตัวเอง เพื่อเป็น Booklet ที่จะได้รับในกล่องน้ำหอม


เพื่อนๆเชื่อมั้ยครับว่า ผมตั้งชื่อน้ำหอมในเวลาไม่ถึง 1 นาที ว่า GENTLEMAN’S WARDROBE เพราะเป็นชื่อที่ขึ้นมาในตอนนั้น ในช่วงเวลา 14.44 นาฬิกา ผมอยากมีน้ำหอมของผู้คนในวงการ Classic Menswear มาก แต่ยังไ่ม่มีใครทำ ทุกอย่างเลยรวดเร็วไปหมด  ผมส่งภาพประกอบตู้เสื้อผ้าไม้ให้ ส่งคลิป PODCAST แนะนำตัว BEING MARTINPHU ความยาว 26.04 วินาที พร้อมคำโปรยของน้ำหอมทันทีหลังสนทนา

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                              

ข้างร้านน้ำหอม จะเป็นมุมทำงานของคุณเพท ในการปรุงน้ำหอมเองทั้งหมด 


น้ำหอม Mod 1 แรกถูกปรุงสำเร็จระหว่างคุณเพทกทำงานที่หน้าร้าน VIVE PERFUME  ที่ Central World และมีการปรับ Mod 2 หลังจากผมส่งเพลง Historia de un amor เวอร์ชั่นของ Luis Miguel ให้เพราะอยากให้บรรยากาศของเพลงนี้ช่วยในการปรุงน้ำหอมที่มีความเป็น MARTINPHU อย่างที่สุด

                                                                                                                                                                                                                        

ภาพเบื้องหลังการปรุงน้ำหอม และทดสอบกลิ่น   GENTLEMAN'S WARDROBE


ผมได้ดมกลิ่นน้ำหอมครั้งแรกในวันที่ 6 กันยายน 2565 โดยคุณเพท เลือกวิธีการปรุงน้ำหอม พร้อมอธิบายส่วนผสมอย่างละเอียด ให้ชมต่อหน้า เทคนิค อัตราส่วน ก่อนขึ้นเป็นดราฟท์ให้ผมกลับมาทดลองใช้ แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นความลับ ผมต้องแอบมาประชุมลับๆในโปรเจคนี้ และแน่นอนว่าน้ำหอมกลิ่นนี้ได้รับการตอบตกลงตั้งแต่วันนั้น

                                                                                                                                                                                                                                   

คุณเพท ยังมีความสามารถในการวาดภาพประกอบได้เองทุกขั้นตอน

หลังจากกลิ่นน้ำหอมผ่านแล้ว ก็มีการพูดคุยเรื่องฉลาก เพราะน้ำหอมของ VIVE PERFUME จะมีฉลากที่เป็นเอกลักษณ์ มี Booklet หนังสือเล่มเล็กๆที่แถมมาด้วยเพื่อเล่าถึงเรื่องราวแรงบันดาลใจของน้ำหอม คุณเพทลงมือวาดและทำเองในทุกขั้นตอน โดยผ่านการพูดคุย ทุกอย่างมีแต่คำว่า “ดีครับ เยี่ยมครับ ขอบคุณครับ” ผมประทับใจในการทำงานมาก เร็ว สวยงาม และมืออาชีพ ภาพฉลากขวดน้ำหอมเป็นรูปตู้ไม้เก่าคลาสสิก และมีนาฬิกาคลาสสิกประกอบอยู่ในภาพอย่างลงตัว คุณเพทดึงเอาความผูกพันธ์ของผมกับนาฬิกา ถ่ายทอดออกมาได้อย่างลงตัวมาก เพราะเป็นคำพูดติดปากของผมที่ว่า “ผู้ชายใส่นาฬิกาดีๆและน้ำหอมดีๆก็พอแล้ว”



ภาพตู้เสื้อผ้าสุภาพบุรุษที่คุณเพทลงมือวาดเองใน Booklet พร้อมส่วนผสมของน้ำหอม โดยมีการเขียนเล่าแรงบันดาลใจของน้ำหอมขวดนี้ ผมลงมือเขียนเองเป็นภาษาไทย แล้วส่งแปลโดยนักแปล 3 ท่าน มีการคัดเลือกจากกลุ่มคนโดยไม่รู้ว่าเป็นโปรเจคอะไร รวมทั้งผมและคุณเพทก็ร่วมกันเลือก และผลงานที่ถูกเลือกเป็นของ 

คุณหญิง  สุพิชฌาย์ อินประสิทธิ์ นักแปลจากอักษรศาสตร์ จุฬาฯ



“ได้เวลาเปิดเพลงโปรด แต่งตัว แล้วออกไปสร้างแรงบันดาลใจดีๆให้กับผู้คนในการทำงาน” เป็นเนื้อความตอนท้าย


สิ่งที่ผมเน้นย้ำตลอดการทำงาน คือ ความสุข อยากให้คุณเพทและทีมงานทุกคนทำงานอย่างมีความสุข มีอิสระเต็มที่กับการทำงาน สนุกไปด้วยกัน พวกเราทุกคนตื่นเต้นในทุกขั้นตอน เวลาที่เห็นทุกอย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เรียกว่าปล่อยของกันอย่างเต็มที่ จึงทำให้กระบวนการในการทำงานทุกอย่างเร็วมาก


ฉลากน้ำหอมถูกออกแบบโดยคุณเพท ที่ดึงเอานาฬิกาคลาสสิก มาอยู่ในฉลากน้ำหอมด้วยเช่นกัน


เลข I โรมันที่ซ่อนอยู่บนฉลากน้ำหอม เป็นความตั้งใจของผมที่อยากให้มีเลขหนึ่งโรมันอยู่ในฉลาก เพราะเป็นสไตล์ที่ชื่นชอบ ผมชอบเลขหนึ่งมาก เพราะ แสดงถึงพลัง อำนาจ และความเป็นหนึ่งเดียว รวมทั้งการเลือกเปิดตัวในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นช่วงเวลาที่เข้าสู่การเฉลิมฉลองในไตรมาสที่ 4 ของปี


โทนกลิ่นที่รู้สึกและอยากแบ่งปัน GENTLEMAN’S WARDROBE เป็นกลิ่นที่ได้แรงบันดาลใจของตู้เสื้อผ้าสุภาพบุรุษ ที่เต็มไปด้วยข้าวของชั้นดีที่วางอยู่ตรงหน้า เป็นกลิ่นที่มีความสุภาพ ไม่สว่างมากหรือเข้มจนเกินไป มีความสุขุม เรียบง่าย ไม่ตะโกน และต้องสามารถนำไปใช้งานร่วมกับกลิ่นอื่นๆได้ เป็นกลิ่นที่ตกผลึกทางความคิดมาแล้วเป็นอย่างดี ยิ่งดมยิ่งหลงใหล สะท้อนความเป็นสุภาพบุรุษที่มองการณ์ไกล


           ซ้ายมือ คุณเพท แห่ง VIVE PERFUME , ขวาผมเอง  จ๊อบ  MARTINPHU                                             

เพราะผมตั้งใจให้เป็นน้ำหอมของผู้บริหาร และผู้คนที่ทำงานอยู่ในแวดวง Luxury ที่ชื่นชอบการแต่งตัวสไตล์ Classic Menswear ที่ต้องการความเรียบง่าย แต่มีรสนิยม มีความแตกต่างของกลิ่น แต่กลมกลืนไปกับผู้คน การติดทนและกระจายตัวของน้ำหอมในระดับพอดี ไม่ไปรบกวนผู้คนรอบข้าง ใส่ทำงานได้ทุกวัน มีความ Pure Class , Smart Scent และมีความนิชเฉพาะกลุ่มที่ทรงคุณค่า ไม่เหมือนใคร 

                                                                                               

ที่ต้องเป็น GENTLEMAN’S WARDROBE เพราะ ตู้เสื้อผ้าเป็นจุดเริ่มต้นของการแต่งตัวของผู้ชายในแต่ละวัน

น้ำหอมเป็นสิ่งที่จะทำให้ลุคของผู้ชายมีพลังมากขึ้น จากกลิ่นหอมที่เข้ากับเสื้อผ้า และอยากให้เปิดเพลงสบายๆฟังระหว่างแต่งตัวและฉีดน้ำหอมกลิ่นนี้ รวมทั้งอยากให้ผู้ที่ได้ครอบครอง แชร์ประสบการณ์ของกลิ่นและเพลงที่รู้สึกเมื่อได้สัมผัสกลิ่นนี้ ผ่าน #VIVEPERFUMExMARTINPHU และรวบรวมไว้ใน INSTAGRAM เชื่อว่าแต่ละท่านจะมีเพลงที่ดังขึ้นมาในใจไม่เหมือนกัน ตามประสบการณ์และความชื่นชอบส่วนตัว


คุณเพท แห่ง VIVE PERFUME


กลิ่นที่ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 25 - 70 ปี กลิ่นถูกสร้างขึ้นมาใหม่ 100 % ตามโจทย์และเรื่องราว ต้องใช้ได้ทุกช่วงอายุ ไม่ใช่กลิ่นแบบ Old School แต่เป็นกลิ่นคลาสสิกร่วมสมัย ทุกคนต้องสามารถซื้อน้ำหอมแบบ Blind Buy (การซื้อน้ำหอมโดยไม่ต้องดม) ได้เลย สามารถซื้อเป็นของฝากให้กับเพื่อนฝูง ผู้คนรอบข้างได้ หรือเป็นของฝากที่นักธุรกิจจะซื้อไปเป็นของกำนัลให้กับลูกค้าในต่างประเทศได้เลย เป็นกลิ่นที่ใช้ใส่วันทำงานได้ วันแต่งงานก็ได้ วันลำลองก็ได้ เรียกว่าคิดมาอย่างละเอียด เพื่อให้ทุกขวดได้เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง


ผู้ใส่น้ำหอมจะได้กลิ่นเบาๆ และคนที่เข้ามาใกล้ๆจะได้รับรู้ถึงความพิเศษนี้ เพื่อแสดงถึงความสุภาพและถ่อมตัว อันเป็นหัวใจของกลิ่นนี้


DUST/PINK PEPPER/BERGAMOT

OLIBANUM/ELEMI/CASHMERAN

PATCHOULI/SUEDE/LEATHER




ไม่มีการลดราคา ตั้งแต่การคุยงานครั้งแรก สิ่งที่ทั้งผมและคุณเพทเห็นตรงกัน คือ จะไม่มีการลดราคาน้ำหอมกลิ่นนี้ และจะมีการปรับราคาขึ้นตามกลไกที่เหมาะสม ผมขอให้คุณเพท ทำราคาให้ทุกคนเข้าถึงได้ที่สุด สมเหตุสมผลที่สุด ถึงแม้จะเป็นคอลเลคชั่นพิเศษ ที่มีส่วนผสมบางอย่างที่มีราคาสูงอย่าง Nagarmotha Oil  และยังมีเส่วนผสมลับอีกหลายชนิดที่ซ่อนอยู่ และขอให้ทุกอย่างในการจัดจำหน่ายเป็นไปอย่างธรรมชาติ ให้อิสระ VIVE PERFUME ทำการตลาดในแบบที่ถนัดและเห็นสมควร และเชื่อว่าจะเป็นน้ำหอมที่ทุกคนต้องเก็บสะสมไว้ในคอลเลคชั่นอย่างแน่นอน



ทำไมถึงเลือกเพลง Historia de un amor เวอร์ชั่นของ Luis Miguel ส่งให้คุณเพท  เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมชอบฟังตั้งแต่วัยเด็กมาจนถึงปัจจุบัน ทุกครั้งที่ฟังจะเห็นการเดินทางของชีวิต การทำงาน ความรัก ทั้งสมหวังและผิดหวัง ได้เห็นความจริงของโลกทั้งมืดและสว่าง จึงมีภาพของพระอาทิตย์และพระจันทร์ที่ถูกซ่อนไว้ใน ฺBooklet เช่นกัน เราควรมีความสุขกับความจริงของโลก และหาความสมดุลของชีวิต


เพลงเป็นภาษาสเปน อยากให้เป็นสุภาพบุรุษที่มีความแอบซ่า และเซ็กซี่เบาๆซ่อนอยู่ข้างใน อยากให้เป็นผู้ชายที่ทุกคนค่อยๆหลงรัก และอยากอยู่ใกล้กับผู้ชายคนนี้ตลอดไป


ภาพขวดน้ำหอม ที่ถ่ายบนโต๊ะที่นั่งคุยงานกับคุณเพท กลางห้าง Central World 


น้ำหอมวางจำหน่ายในวันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม 2565 ณ VIVE PERFUME ชั้น 2 CENTRAL WORLD , ZONE EDEN (เดินจากทางเชื่อมรถไฟฟ้าเข้ามาในห้าง จนถึงร้าน JASPAL จะพบเคาเตอร์ของแบรนด์ VIVE PERFUME อยู่ด้านข้าง)  ราคาจำหน่าย  2,990  บาท ขนาด 50 ml (EAU DE PARFUM)  โดยใน Batch แรกจะผลิต 100 ขวด วางจำหน่ายออนไลน์ในเพจ VIVE PERFUME จำนวน 50  ขวด และหน้าเคาเตอร์ที่ Central World จำนวน 50   ขวด


ผมหวังว่าน้ำหอมขวดนี้จะเป็นตัวแทนแห่งสันติภาพ   มิตรภาพ และความรักในการแต่งตัวสไตล์   Classic Menswear ที่ทุกคนชื่นชอบนะครับ ขอให้การเดินทางของน้ำหอมขวดนี้ กลายเป็นตำนานที่ทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์   น้ำหอม   GENTLEMAN'S WARDROBE โดย VIVE PERFUME x   MARTINPHU


เขียนบันทึกวันที่ 24 กันยายน 2565


IG : @VIVEPERFUME

FB : VIVEPERFUME


#VIVEPERFUME

#VIVEPERFUMExMARTINPHU

ร้าน REFINEMENT แหล่งรวมรองเท้าสไตล์คลาสสิกและเครื่องแต่งกายชาย ที่ชั้น 2 Central Embassy

ในยุคที่การแต่งกายสไตล์ Classic Menswear กำลังกลับมาได้รับความนิยม ก็มีร้านที่หนุ่มๆต้องแวะมาเช็คอิน นั่นคือร้าน REFINEMENT : Finest Men's Footwear and Accessories ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 ของห้าง Central Embassy เดินทางด้วยรถไฟฟ้าลงสถานีเพลินจิต 

ภายในร้านตกแต่งด้วยบรรยากาศที่สวยงาม เรียบโก้ หรูหรา และโชว์รองเท้าชั้นดีที่นำเข้ามาจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Edward Green , TLB Mallorca , Paraboot , Berwick (Exclusive for REFINEMENT Only) , Joseph Cheaney & Sons และจะมีแบรนด์อื่นๆเข้ามาเพิ่มเติมในอนาคต

ถือเป็นมิติใหม่ของวงการ ที่มีร้านรองเท้าระดับนี้ตั้งอยู่ในห้างที่เดินทางสะดวก รองเท้าทุกแบรนด์ เป็นแบรนด์ที่โด่งดังในวงการรองเท้า เน้นงานฝีมือ ความสวยงามสไตล์คลาสสิก แตกต่างจากรองเท้าของแบรนด์ Luxury ทั่วไป และมาในงานคุณภาพที่เหนือระดับกว่า

และยังมีในส่วนของเครื่องแต่งกายแบรนด์ดังอย่าง Ring Jacket , B&Tailor , Chad-Prom , และกระเป๋าหนังระดับตำนานอย่าง Rutherfords Made in England เรียกได้ว่าสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่หลงใหลในการแต่งกายสไตล์คลาสสิกเป็นอย่างยิ่ง

Edward Green แบรนด์ในฝันของหนุ่มๆ ราคาโดยประมาณ 46,000 บาท สำหรับรุ่นยอดนิยมของแบรนด์ แต่ก็ยังมีคู่หนังกลับในราคา 24,000 บาท แบรนด์อังกฤษระดับตำนานที่ทุกคนใฝ่ฝันว่าอยากจะมีไว้ครอบครอบ ด้วยงานผลิตรองเท้าชั้นเลิศ เก่าแก่เป็นร้อยปีจากอังกฤษ  เพียงแค่บอกว่าใส่รองเท้าจาก EG  (ชื่อย่อที่นิยมเรียกกันในวงการ) ทุกคนก็ต้องร้องว้าวในรสนิยมของผู้สวมใส่อย่างแน่นอน

Paraboot แบรนด์ดังจากฝรั่งเศส ด้วยพื้นยางอันเป็นเอกลักษณ์ ประกอบกับงานเครื่องหนังชั้นดี สไตล์ของรองเท้าที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนแบรนด์อื่นๆ ราคาโดยประมาณ 17,500 บาท เป็นแบรนด์ที่โด่งดังมากในประเทศญี่ปุ่น

TLB Mallorca แบรนด์จากสเปน ที่มีด้วยระดับงานฝีมือที่ไม่ธรรมดา ราคาเริ่มต้น 17,500 บาท น่าจะเป็นแบรนด์ที่เป็น Hero ของร้านก็ว่าได้ โดยเฉพาะคู่ที่อยู่ในภาพ หนัง Museum Calf ที่มีความงดงามดั่งลวดลายหินอ่อน สินค้ายังอยู่ใน Atista Collection ซึ่งถือเป็นอีกระดับของแบรนด์ มีแบบและทรงให้ได้เลือกสวมใส่กันอย่างจุใจที่ร้าน REFINEMENT


Berwick แบรนด์ดังจากสเปน เป็นอีกแบรนด์ที่ผู้เขียนมีโอกาสได้ใช้ตั้งแต่ครั้งแรกในการนำเข้ามาจำหน่ายแต่การกลับมาครั้งนี้ มาด้วยความพิเศษเพราะที่นี่ถือเป็น "ตัวแทนนำเข้าแห่งใหม่ "


ทุกคู่ถูกผลิตมาเพื่อ REFINEMENT เท่านั้น  จึงมีการสลักชื่อแบรนด์ไว้ด้านในรองเท้า ไม่ว่าจะเป็นทรง สี และความพิเศษของโครงสร้าง ราคาเริ่มต้น 6,900 บาท เป็นแบรนด์ที่ไม่ควรพลาด และต้องมาซื้อที่นี่เท่านั้น เพื่อความพิเศษ


กระเป๋าหนังแบรนด์ Rutherfords Mande in England ถือเป็นอีกแบรนด์ที่น่าสนใจ เพราะเป็นแบรนด์ที่โด่งดังมากในวงการ Classic Menswear ที่หลายคนอยากมีโอกาสได้สัมผัส ผลิตจากหนัง Bridle Leather ที่ดีที่สุดของอังกฤษ งานฝีมือของช่างอังกฤษแท้ๆ กระบวนการตัดเย็บ และแพทเทิร์นแบบดั้งเดิม นี่คือ ต้นกำเนิดกระเป๋าสไตล์นี้ที่หลายแบรนด์นำไปเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ


หรือเรียกว่า นี่คือ ออริจินัล ของจริง และตัวต้นแบบ เหมือนเมื่อ 100 ปีที่แล้ว และยังมีเทคนิคการใช้ Tallow (ไขสีขาว) ทาลงบนตัวหนัง ยิ่งใช้ไปกระเป๋าจะยิ่งมีความสวยงาม เรื่องความอยู่ทรงและทนทาน ต้องบอกว่านี่คือ ที่สุด เพราะ Bridle Leather คือ หนังที่ใช้สำหรับการผลิตอานม้า มีความทนทานต่อการใช้งานและสภาพอากาศ เหมาะกับการใช้ลุยๆ ที่ยังให้ความรู้สึกที่คลาสสิก หรูหรา และมีเรื่องราว ราคาเริ่มต้น 15,500 บาท


เก้าอี้ที่ถูกออกแบบมาพิเศษสำหรับการลองรองเท้า และม้านั่งสำหรับทีมงานหน้าร้าน ที่จะดูแลลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ ทุกอย่างถูกออกแบบมาอย่างดี แม้กระทั้งโต๊ะตัวเล็กๆขวามือ สำหรับให้ลูกค้าได้วางกระเป๋า ก็ถือเป็นการใส่ใจรายละเอียดของร้านที่ยอดเยี่ยม


ทีมงานจะดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อความสะดวกสบายสูงสุดของลูกค้า แม้กระทั่งการช่วยผูกเชือกให้ เพื่อความสะดวกในการลองรองเท้า บริการที่เหนือระดับ คือ หัวใจของร้านเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีบริการติดพื้นรองเท้าจากร้าน RESH ในกรณีที่ลูกค้าต้องการ ทุกอย่างสามารถ ชำระเงินและครบจบที่นี่ได้เลย


เข็มขัดจาก TLB Mallorca ราคา 5,500 บาท ทำให้หนุ่มๆสะดวกในการใส่เข็มขัดสีเดียวกับรองเท้า หมดปัญหาเรื่องการแต่งตัว เติมเต็มลุคที่คลาสสิกด้วยเข็มขัดหนังชั้นดี ที่เป็นหนังประเภทเดียวกับรองเท้าที่ใส่ได้เลย


ช้อนใส่รองเท้า REFINEMENT ที่ผลิตจากเขาสัตว์แท้ ราคา 1,250 บาท ช่วยในการใส่รองเท้าเป็นเรื่องที่สะดวกขึ้น เหมาะกับมีติดกระเป๋าไว้ หรือมอบเป็นของขวัญให้กับคนที่รักรองเท้าหนัง


กระเป๋ารุ่น Tongue Folio ขนาด M (A4) จากแบรนด์ Rutherfords Mande in England  ราคา 15,500 บาท ก็ถือเป็นใบที่น่าสนใจ ไว้ถือกับรองเท้าหนัง การเปิดปิดกระเป๋าแบบมีลิ้นล็อค ถือเป็นต้นตำรับของแท้ ที่หลายๆแบรนด์นำไปเป็นแรงบันดาลใจในการผลิตกระเป๋าเช่นกัน จะดีเพียงใดถ้าเราได้ถือกระเป๋าที่เป็นตำนานใบนี้ บ่งบอกถึงรสนิยมอย่างแท้จริง


แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังอย่าง Ring Jacket จากญี่ปุ่น , B&Tailor และ Chad-Prom จากเกาหลี ราคาเริ่มต้นประมาณสองหมื่นกว่าบาท ก็มาเติมเต็มลุคการแต่งตัวของหนุ่มๆได้เป็นอย่างดี

ทั้งหมดนี้เป็นแค่การสินค้าที่เปิดตัวในช่วงแรกของการเปิดร้าน REFINEMENT เท่านั้น และยังมีแบรนด์อีกมากมายจากทั่วโลกที่เดินทางมายังประเทศไทย ให้ทุกคนได้ติดตาม สามารถติดตามอินสตาแกรมของร้านได้ที่ @therefinement.official ถือเป็นการบุกตลาด Classic Menswear ที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เป็นร้านที่หนุ่มๆต้องแวะไปเยี่ยมชม และต้องมีรองเท้าชั้นดีเก็บไว้สักคู่ 


สามารถชมบรรยากาศของร้าน ได้แบบเหมือนไปชมด้วยตัวเองได้ในคลิปทางด้านบนและฝากอินสตาแกรม @MARTINPHU ไว้ให้ได้ติดตามเช่นกัน ขอบคุณสำหรับการรับชมและติดตามครับ
_____________________________

ขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก @therefinement.official 
เขียนไว้ ณ วันที่ 6/12/2021

Proenza Schouler White Label Spring 2020



Proenza Schouler White Label ก้าวสู่การเดินทางครั้งใหม่ในคอลเลคชั่นฤดูใบไม้ผลิ 2020 นำเสนอดีไซน์ในรูปแบบที่ถูกปรับให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติและอัตลักษณ์ของแบรนด์อย่างเด่นชัด การออกแบบเสื้อผ้าของ Proenza Schouler White Label ถูกตีความต่อมาจากดีไซน์ของเสื้อผ้า Mainline Runway ซึ่งเป็นสินค้าไลน์หลักของแบรนด์ เติมเต็มไอเท็มชิ้นสำคัญให้กับหญิงสาวของ Proenza Schouler สร้างภาพลักษณ์ที่ดูผ่อนคลาย ใส่ง่าย แคชชวลขึ้นกว่าเดิม และขณะเดียวกันผู้สวมใส่ก็จะได้สัมผัสกับลุคอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ในราคาที่จับต้องได้ง่ายมากยิ่งขึ้น 


คอลเลคชั่นฤดูใบไม้ผลิ 2020 จะมาพร้อมกับเสื้อโค้ทแคชเมียร์สองหน้า (double faced cashmere) ซึ่งสามารถสวมใส่ได้ง่ายในชีวิตประจำวัน หนังวัว (bonded leathers) ผ้าป๊อปลินฟอกหลากหลายสี ผ้าเจอร์ซี่เนื้อแมตต์ถูกจับคู่มากับเดนิมสีสันสดใสในดีไซน์สุดมินิมัล และนิตแวร์รูปแบบใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยสไตล์  


Proenza Schouler White Label จะถูกวางจำหน่ายในราคาตั้งแต่ 5,800 – 34,800 บาท โดยราคาเสื้อยืดพิมพ์ลายจะวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 5,800 บาท นิตแวร์เริ่มต้นที่ 14,800 บาท ในส่วนของราคาของกางเกงจะอยู่ที่ 12,800 บาท เสื้อตัวนอกเริ่มต้นที่ 24,800 บาท และไอเทมที่ตัดเย็บขึ้นจากหนังจะถูกจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 34,800 บาท 


Proenza Schouler White Label รูปโฉมใหม่จะถูกทำให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นผ่านแคมเปญภาพโฆษณาที่ชื่อว่า “Lost and Found” ซึ่งได้รับเกียรติจาก Tim Elkhaim เป็นผู้ถ่ายภาพ โดยมีเหล่านางแบบหลากหลายคาแรคเตอร์เป็นผู้ออกเดินทางท่องไปในเมืองที่มากไปด้วยความคึกคักอย่างนิวยอร์ก เพื่อที่จะซึมซับและค้นหาความงดงามและมนต์เสน่ห์ของความน่าอัศจรรย์ที่รวมไว้ทั้งสิ่งเก่า และใหม่ รวมถึงความแปลกใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น

CDG ไลน์ใหม่ของแบรนด์ COMME des GARCONS เจาะตลาดแนวสตรีท !!!


CDGCDGCDG ชื่อแบรนด์สุดกวนที่ต้องอ่านคำว่า "CDG" ให้ครบ 3 ครั้ง คือ ไลน์สินค้าใหม่ที่เจาะกลุ่มตลาดสตรีทสุดเท่ โดยการใช้อักษรย่อของแบรนด์หลักอย่าง COMME des GARCONS มาเป็น  CDG ที่มีการออกแบบโลโก้ได้อย่างโดดเด่นเข้ากับเทรนด์สตรีทในปี 2020 ได้เป็นอย่างดี

สำหรับร้าน Pop-Up แห่งนี้จะตั้งอยู่ที่เอ็มควอเทียร์นานถึง 7 เดือน (ไปจนถึงประมาณสิงหาคม 2563) โดยมีจุดเด่นของร้านที่ถูกออกแบบให้เหมือนกล่อง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการเปิดตัวร้าน Pop-Up ของ CDG อย่างเป็นทางการ


ภายในร้านผลงานหลายชิ้น เป็นการร่วมงานกันกับหลากหลายแบรนด์ระดับโลก ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขา 


สินค้าชิ้นเด่นคงเป็นเจ็คเก็ตราคาเริ่มต้นประมาณ 6,900 บาทไปจนถึงหลักหมื่น เสื้อยืดตัวละประมาณ 4,500 บาท กระเป๋าเป้ 5,500 บาท เรียกได้ว่าราคานั้นจับต้องได้ พร้อมเจาะกลุ่มคนรักการแต่งตัวแบบสตรีท ที่อยากได้แบรนด์ใหม่ๆชิคๆไปเติมในตู้เสื้อผ้าได้อย่างลงตัว


ส่วนตัวผมคิดว่าสินค้ายอดนิยมคงหนีไม่พ้นเสื้อยืด ที่สามารถนำไปใส่กับกางเกงและรองเท้าสนีคเกอร์คู่เก่งได้อย่างลงตัว เป็นอะไรที่ใส่ได้บ่อย และราคาเข้าถึงได้


นอกจากนี้ยังมีเสื้อรุ่นพิเศษ สกรีนสีทอง 2020 ให้แฟนๆได้สะสมก่อนใครอีกด้วย


ใครอยากได้ข้อมูลราคาสินค้าเพิ่มเติมก็สามารถแอดไลน์ไปสอบถามได้ที่ Line : @cdg_th ได้เลยครับ รับรองว่าจะได้ข้อมูลสินค้า หรือพิกัดของร้านที่ชัดเจน เดินทางไปง่ายมากๆ เพียงลงรถไฟฟ้าสถานีพร้อมพงษ์แล้วเดินเข้าห้างเอ็มควอเทียร์ ชั้นเดียวกับทางเชื่อมรถไฟฟ้า เราก็จะเห็นร้านที่มีโลโก้ของ CDG อยู่โดดเด่นเต็มไปหมด ส่วนใครอยากชมภาพบรรยากาศในงานก็สามารถเข้าไปชมในลิงค์ข้างล่างได้เลยครับ

คลิปบรรยากาศวันเปิดตัวร้าน CDGCDGCDG 22 มกราคม 2563

HOMME PLISSÉ ISSEY MIYAKE (ออมม์ พลิซเซ่ อิซเซ่ มิยะเกะ)




HOMME PLISSÉ ISSEY MIYAKE (ออมม์ พลิซเซ่ อิซเซ่ มิยะเกะ) เนรมิตร้าน ISSEY MIYAKE  สาขา Siam Discovery ให้กลายเป็นแกลลอรี่สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เผยโฉมคอลเล็กชั่นพิเศษ BLOCK Series ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของแบรนด์ HOMME PLISSÉ ISSEY MIYAKE ในประเทศไทยรวมไปถึง คอลเล็กชั่นล่าสุด Autumn/Winter 2019 อีกด้วย


เริ่มจากชั้น 1 ของร้าน ISSEY MIYAKE  พื้นที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นแกลลอรี่ที่แสดงออกถึงอิสรภาพแห่งสีสันอันเป็นแกนหลักของคอลเล็กชั่นเอ็กซ์คลูซีฟ “BLOCK Series”  ผ่านเทคนิคการจับคู่สีแบบ Color Blocking ที่ทำขึ้นเพื่องานนี้โดยเฉพาะและวางขายในประเทศไทยเท่านั้น 
ภายในแกลลอรี่พิเศษนี้ยังประกอบไปด้วยนิทรรศการแสดงผลงานภาพถ่ายฝีมือของ ยูริโกะ ทากากิ ช่างภาพชื่อดังชาวญี่ปุ่น โดยภาพต่างๆถูกแขวนโชว์เรียงรายอยู่ภายในร้าน เพื่อตอกย้ำถึงเทคนิคการสไตลิ่งแบบ Color Blocking  ของคอลเล็กชั่นเอ็กซ์คลูซีฟนี้


นอกจากนี้ ยังเพิ่มความพิเศษด้วยการตกแต่งบรรยากาศแบบสตรีทของเมืองไทย โดย HOMME PLISSÉ ISSEY MIYAKE ได้สร้างสรรค์รถเข็นที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถเข็นขายอาหารสตรีทฟู้ดที่ทุกคนสามารถเลือกเมนูที่ตัวเองต้องการได้อย่างเป็นอิสระ สินค้า HOMME PLISSÉ ISSEY MIYAKE “BLOCK Series” จะถูกแสดงบนรถเข็น เปรียบเสมือนอาหารหลากหลายเมนู โดยเปิดให้แขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนได้เลือกจับเสื้อผ้าได้เอง ตามคอนเซปต์ที่ต้องการสื่อถึงอิสรภาพในการตัดสินใจ 


ส่วนพื้นที่ชั้น 2 ก็ได้ถูกปรับให้เป็นโชว์รูมขนาดย่อมโชว์คอลเล็กชั่น Autumn/Winter 2019 รวมไปถึงวิดีโอพรีเซนเทชั่น “Playground” ให้ทุกท่านได้รับชมเพื่อเพิ่มอรรถรสกันในงานด้วย โดยการแสดงนี้ได้ถ่ายทอดการเคลื่อนไหวของเสื้อผ้า HOMME PLISSÉ ISSEY MIYAKE ผ่านบรรดานายแบบได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งการแสดงนี้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ปารีสในช่วงต้นปีที่ผ่านมา 

หลังจากงานเปิดตัว HOMME PLISSÉ ISSEY MIYAKE ในวันที่ 8 ตุลาคม 2562 เสร็จสิ้น งานดีไซน์ส่วนหนึ่งจะถูกนำไปตกแต่งภายในร้าน HOMME PLISSÉ ISSEY MIYAKE ชั้น M ศูนย์การค้า ดิ เอมควอเทียร์ พร้อมกับวางจำหน่ายสินค้าคอลเล็กชั่นพิเศษ HOMME PLISSÉ ISSEY MIYAKE “BLOCK Series” โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2562 จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2562  

พบกับเครื่องแต่งกายแบรนด์ HOMME PLISSÉ ISSEY MIYAKE (ออมม์ พลิซเซ่ อิซเซ่ มิยะเกะ) คอลเล็กชั่นประจำฤดูใบไม้ร่วง และ ฤดูหนาว 2019 ได้ที่

สยามดิสคัฟเวอร์รี่ชั้น M  
02-021-2141
Line:@Isseymiyaketh


Dermalogica เปิดตัวสองผลิตภัณฑ์ใหม่ Dermalogica Prisma Protect SPF 30 และ Dermalogica Ultra Calming




Dermalogica แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอันดับหนึ่งจากสหรัฐอเมริกา ที่ผู้เชี่ยวชาญผิวทั่วโลกเลือกใช้ เปิดตัวสองผลิตภัณฑ์สุดล้ำ Dermalogica Prisma Protect SPF 30 และ Dermalogica Ultra Calming ซึ่งใช้ส่วนผสมเข้มข้นจากธรรมชาติผสานกับเทคโนโลยีที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจน รวดเร็ว โดยเชิญ 4 เซเลบริตี้มาร่วมวิเคราะห์ผิวกับผู้เชี่ยวชาญพร้อมทดลองประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ นำโดย บิ้วตี้กูรู คุณฟลุค-รพี ชูสุวรรณ นักแสดงสาวสาวยสองท่าน คุณเฌอเบลล์-ลัลณ์ลลิน เตจะสา เวศซ์, คุณดรีม-พิชยา ทิพพาละ และเซเลบริตี้สาวผิวสวย คุณโบว์-ชมพูนุท โรจน์ศิริรัตน์ โดยมีคุณกัลยารัตน์ ภักดีสัตยพงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด EIG ประเทศไทย ให้การต้อนรับ


ภายในงานผู้เชี่ยวชาญด้านผิวได้แนะนำถึงประเภทผิวของแต่ละท่านด้วยการทำ Face Mapping รวมถึงวิธีการดูแลผิวเฉพาะบุคคล รวมทั้งแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิว ซึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งสองตัวเหมาะกับทั้ง 4 ท่าน เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้ทุกประเภทผิว Dermalogica Prisma Protect SPF 30 เป็นผลิตภัณฑ์กันแดดที่ล้ำสมัยด้วยเทคโนโลยีที่ยังไม่เคยมีแบรนด์ใดทำได้มาก่อน Drone Technology และ Breakthrough Antioxidant Technology ตอบโจทย์ความต้องการตามวิถีชีวิตในปัจจุบันที่แสนวุ่นวาย ผิวของเราต้องทำงานตลอดทั้งวัน 


โดยเฉพาะช่วงกลางวันผิวต้องเผชิญกับปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายจากทั้งแสงยูวี มลภาวะ และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทั้งฝุ่นและควันพิษ ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวส่วนใหญ่กลับมีเพียง เอสพีเอฟ ปกป้องได้เพียงคลื่นแสงจากยูวีเท่านั้น ผิวจึงไม่ได้รับการดูแลและป้องกันมากเพียงพอจนถึงระดับสเปกตรัม ทั้งยังเสี่ยงกับภาวะผิวขาดน้ำและการได้รับอนุมูลอิสระอีกด้วย นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ไฮไลท์อีกชิ้นที่ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี Dermalogica Ultra Calming Essence เอสเซนต์เนื้อบางเบาแต่มีสารสกัดที่เข้มข้นประดุจเซรั่ม ที่มีประสิทธิภาพในการปลอบประโลมผิวอย่างอ่อนโยน และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว เหมาะกับผู้ที่กังวลเรื่องรอยแดง หรือผิวแพ้ง่าย ช่วยให้ผิวค่อยๆ แข็งแรงขึ้นด้วยการฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติ พร้อมลดอาการคันและอาการแดงอย่างเห็นผล 


สามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ dermalogica รวมถึงรับบริการวิเคราะห์ผิวได้ฟรีที่เคาน์เตอร์ Dermalogica ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทุกสาขา และ AsterSpring ทุกสาขา หรือสั่งซื้อทาง online ได้ที่ www.dermalogica.co.th, www.facebook.com/dermalogica.official.Thailand และคลินิก, ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ 

Stella McCartney เปิดตัวคอลเลคชันพิเศษ ‘All Together Now’




Stella McCartney เปิดตัวคอลเลคชันพิเศษ ‘All Together Now’ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ชื่อดังของ The Beatles ที่มีชื่อว่า ‘Yellow Submarine’ เป็นคอลเลคชันที่ได้นำเอากราฟฟิคและจุดเด่นจากภาพยนตร์มาแต่งแต้มเพื่อเพิ่มความสนุกให้กับเสื้อผ้า ภาพยนตร์เรื่อง Yellow Submarine ได้รับการบันทึกภาพและเสียงใหม่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อเฉลิมฉลองการฉายครบรอบ 50 ปีในปีที่ผ่านมา โดยภาพยนตร์ได้นำเสนอเรื่องราวการผจญภัยในโลกที่เต็มไปด้วยสีสัน และสร้างความสามัคคีให้กับตัวละครผ่านความรักและเสียงเพลง นับเป็นการนำเสนอภาพความสามัคคี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในสังคมที่มากไปด้วยความขัดแย้งทางการเมืองดังที่เกิดขึ้นในปีที่ภาพยนตร์ฉาย ความผูกพันของ Stella ที่มีต่อภาพยนตร์ได้ให้แรงบันดาลใจกับเธอในการรังสรรค์คอลเลคชัน และต่อยอดเป็นแคมเปญที่จะช่วยรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่ได้หันมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกต่อไป 


Stella กล่าวว่าฉันได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Yellow Submarine ที่ถูกนำมาฉายอีกครั้งในรูปแบบดิจิทัลร่วมกับเพื่อนและครอบครัว นับเป็นเวลานานหลายปี หลังจากที่ฉันมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวเมื่อครั้งเป็นเด็ก Yellow Submarine สร้างความประทับใจให้กับฉันเป็นอย่างมากในแบบที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อคิดในการเชื่อมผู้คนเข้าด้วยกัน และสร้างความปรองดองในแง่ของการเมืองให้กับพวกเขา ฉันไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวขนาดนี้ และหลังจากที่ภาพยนตร์จบลง ฉันรู้ทันทีว่าฉันต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง 


จุดเด่นของภาพยนตร์ถูกนำเสนอผ่านนิตแวร์และเสื้อผ้าที่ตัดเย็บขึ้นจากผ้าเจอร์ซี่ พร้อมปักประโยคที่ปรากฏในภาพยนตร์อย่าง “All Together Now” เอาไว้ในหลายภาษา และนอกจากข้อความดังกล่าวแล้ว Stella ยังได้เพิ่มประโยคอย่าง “all you need is love” และ “love, love, love” เอาไว้บนเสื้อเชิ้ตและเสื้อตัวนอกอีกด้วย 
ในส่วนของ ‘Lucy in the Sky with Diamonds’ นั้นจะได้รับการตีความใหม่และนำมาตกแต่งด้วยเทคนิคการปะผ้า (patchwork) บนเดรสผ้าไหมแจ๊คการ์ดอันมากไปด้วยความอ่อนนุ่มและพริ้วไหว ดูเปี่ยมไปด้วยความเป็นเฟมินีน เสื้อโค้ทขนสัตว์เทียม (Fur-Free-Fur) จะถูกนำเสนอพร้อมกับลายพิมพ์เครื่องแบบของวงโยธวาทิตที่ปรากฏในภาพยนตร์ ในขณะที่ภาพของเรือดำน้ำลำเล็กสีเหลืองจะถูกนำมาพิมพ์เป็นลวดลายโมโนแกรม และจะปรากฏให้เห็นบนรองเท้าผ้าใบ Eclypse และกระเป๋า Falabella อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์

และเพื่อตอกย้ำถึงความตั้งใจในการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และช่วยส่งเสริมให้คนรักษ์โลก Stella McCartney จึงเลือกที่จะใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการรังสรรค์คอลเลคชัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ผ้าเจอร์ซี่และเดนิมที่ผลิตขึ้นจากผ้าฝ้ายธรรมชาติ ผ้าแคชเมียร์แบบแปรรูป (regenerated cashmere) ไนลอนรีไซเคิล (ECONYL®) เส้นใยวิสคอสจากพืช และวัสดุใหม่อย่างผ้าฝ้าย Breton รีไซเคิล 100% 


พบกับป๊อปอัพสโตร์สำหรับคอลเลคชันพิเศษ “All Together Now” จาก STELLA McCARTNEY ระหว่างวันที่ 1 – 16 สิงหาคม 2562 ชั้น M ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์  โทร. 02-021-2111

#StellaMcCartneyxTheBeatles

Line: @stellamccartneyth

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
แผนกประชาสัมพันธ์ บริษัท คลับ 21 (ประเทศไทย) จำกัด, โทร. 02-650-9181, แฟกซ์. 02-650-9185